ทั้งสนุกเป็นบ้าทั้งซีเรียสอย่างผิดคาดมหัศจรรย์หนังพี้ที่ 3 ที่ซิเนม่าโอเอซิส
ขอขอบคุณทุกคนที่ช่วยกันสร้างประสบการณ์แสนสุขนี้ขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดานักทำหนังที่ส่งผลงานแห่งความรักของเขามาให้เราตื่นตา ตื่นใจ และฟื้นใจ
ความอึมครึมของยุคสมัยนาทีประวัติศาสตร์นี้ ดูเหมือนสะท้อนอยู่ในภาพยนตร์ที่ชนะรางวัล: ‘ฝนเลือด’ (กัญชาทองคำ), ‘ผีมีบุญ’ (เบบี้กัญชาทองคำ), ‘หัวในหมู่เมฆ’ (ขวัญใจคนดู) และ ‘สงัด’ (หนังที่จำเป็นต้องมีอยู่ในโลก)
น่าประหลาดใจที่ค้นพบว่า 3 ใน 4 นี้เป็นผลงานของผู้กำกับไทย ส่วนผู้ร่วมกำกับชาวเยอรมันของหนังเยอรมัน ‘หัวในหมู่เมฆ’ นั้น เป็นผู้อาศัยอยู่ในเมืองไทย โอ พระศิวะ คุรุเทพแห่งกัญชา หรือว่าเทศกาลหนังพี้ของเราถูกผีปีศาจแห่งชาตินิยมเข้าสิง? ไม่น่าเป็นไปได้ ในเมื่อได้มีการทำพิธีคุ้มครองจากไสยศาสตร์มนต์ดำทั้งปวง โดยแม่มดหมอผีชั้นเลิศในละแวกบ้านนี้ ไหนยังข้อเท็จจริงที่ (มูลนิธิ) ซิเนม่าโอเอซิสนั้นสร้างขึ้นมาโดยนักทำหนังที่ถูกแบนห้ามฉาย โทษฐานทำหนังที่รัฐเห็นเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
น่าทึ่งยิ่งไปอีกเมื่อนึกกลับไปถึงปีแรกของมหัศจรรย์หนังพี้ 2562 ซึ่งแทบไม่มีหนังไทยเลย เพราะแทบไม่มีส่งมา น่าเหลือเชื่อที่เรามีหนังน่ารักจากซาอุดิอารเบียเกี่ยวกับคู่บ่าวสาวในห้องโรงแรม เรามีหนังจากทั่วโลก แต่แทบไม่มีหนังไทยเลย ในนาทีสุดท้าย มีหนังที่เพอร์เฟ็คท์ พร้อมคุณค่าโปรดักชั่นแบบฮอลลีวู้ด โผล่มาจากนักศึกษาฟิล์มที่มหิดล ซึ่งเป็นชาวอินเดียที่เกิดในเมืองไทย ‘3 หมื่นบาทต่อออนซ์’ ได้รางวัลหนังพี้สั้นยอดเยี่ยม (ซึ่งเคยเรียกว่า บ้องแก้ว แต่เพิ่งเปลี่ยนมาเป็น เบบี้กัญชาทองคำ เนื่องจากความลำบากในการขนส่งบ้องแก้วข้ามชาติ) ส่วนกัญชาทองคำเป็นของ ‘ซูเปอร์ไซโคเซบู’ จากฟิลิปปินส์
ปีที่สองต้องเลื่อนออกไปเพราะโรงหนังปิดโควิดล็อคดาวน์ จนปี 2565 จึงจัดขึ้น ครั้งนี้ก็มีหนังไทยน้อยเช่นกัน อย่างไรก็ดี หนังสุดจี้เปิดเทศกาล ‘ดุริยางค์มรณะ’ โดยผู้กำกับอังกฤษชาวไทยได้เป็นขวัญใจคนดู ขณะที่หนังพี้กังฟูจากบราซิล ‘เดอะสโมคมาสเตอร์’ ได้กัญชาทองคำ, ‘เฟซทูเฟซ’ จากคองโกได้บ้องแก้ว และรางวัลพิเศษ หนังพี้สุดช็อค เป็นของ ‘สเปซเบิร์ธ 2’
เห็นชัดว่าบางสิ่งบางอย่างกำลังก่อเกิดขึ้นในเมืองไทย เมื่อนักดนตรีคลาสสิคสร้างสรรค์ภาพยนตร์ เมื่อ ‘การ์ตูน’ แอนนิเมชั่นไปไกลกว่าแฟนตาซีแบบเด็ก, เมื่อนักทำหนังปริ่มด้วยความโหยหิวให้ความจริงได้ปรากฏบนจอภาพยนตร์ไทย, เมื่อภาพยนตร์กลายเป็นเครื่องมือวิเศษของจิตและจินตนาการของนักทำหนัง ที่สร้างสรรค์มันขึ้นมาด้วยความรัก ด้วยฝีมือ และความเท่สุดเท่ และด้วยทรัพยากรจำกัด
จึงเป็นเรื่องที่น่าตกใจเมื่อได้ยินคำปราศรัยขอบคุณของผู้ชนะ เมื่อผู้กำกับทุกคนเล่าถึงความท้อแท้ที่เคยได้รับจากการปฏิเสธโดยเทศกาลภาพยนตร์อื่นๆ ในประเทศไทยทุกเทศกาล แม้นในขณะที่เขากำลังได้รับรางวัลจากต่างประเทศ เช่นในกรณี ‘สงัด’
ทุกคนในโรงตกใจที่ได้ยินความทุกข์ยากของเขาเหล่านี้ หลายคนถึงกับน้ำตาคลอไปด้วย คนที่มากความสามารถเหล่านี้ควรได้รับการสนับสนุนและกองเชียร์ คนพวกนี้ไม่สมควรจะต้องมาทนทุกข์แบบเดียวกับที่ฉันต้องเจอ นี่หมายความว่า 30 ปีที่ผ่านมา ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยหรือสำหรับนักทำหนังในเมืองไทย? มันควรจะต้องดีขึ้นไม่ใช่หรือสำหรับคนถัดมา? ทำไมมันยังเหมือนเดิม?
ตลอดช่วง 4 วันของเทศกาล มีผู้กำกับไทยรายอื่นที่เคยพบผ่านเรื่องราวลักษณะเดียวกันเล่าถึงเหตุการณ์ที่ทำให้หัวใจสลายจากการเหยียบย่ำและปฏิเสธ หรือแม้กระทั่งการปรักปรำ ซึ่งทำให้เราเข้าใจว่าในความเป็นจริงการแบนการเซ็นเซอร์หนังที่ ‘อ่อนไหว’ – “เซ็นซีถีบ” – กำลังเกิดขึ้นทั่วไปโดยที่เรามองไม่เห็น ไม่เป็นทางการ ไม่เป็นที่รับรู้ โดยคนที่ตั้งตัวเป็นตำรวจและผู้พิพากษาศิลปะวัฒนธรรมของเรา และรัศมีอำนาจนี้กว้างไกลกว่าห้องพิจารณามืดๆ ของกรรมการเซ็นเซอร์
อสูรชาตินิยมไม่ได้สิงสู่เรา หนังเหล่านี้สมควรได้รับการยกย่อง และผู้กำกับเหล่านี้สมควรได้รับกำลังใจ เพื่อที่เขาจะได้สร้างสรรค์ผลงานภาพยนตร์ต่อไปให้โลกของเราได้ร่ำรวยด้วยศิลปะ
อีกอย่างที่ไม่น่าแปลกใจ คือการที่หนังสั้นทั้ง 3 เรื่องที่เคยได้รับรางวัลหนังพี้สั้นยอดเยี่ยม ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับประสบการณ์การถูกกดขี่ : ถูกบังคับให้จ่ายสินบนตำรวจ (‘3 หมื่นต่อออนซ์’); ประวัติศาสตร์การค้าทาสในอาฟริกา (‘เฟซทูเฟซ’) และการกดขี่โดยนักล่าอาณานิคมสยาม (‘ผีมีบุญ’)
อย่าลืมว่ากัญชาชนเข้าใจดีว่าการกดขี่นั้นเป็นอย่างไร – การกดขี่ทางวัฒนธรรม การบิดเบือนความจริงและภาพพจน์ การใส่ร้ายป้ายสีทั้งขบวนการ ที่ทำให้พืชศักดิ์สิทธิ์ของพระศิวะต้องกลายเป็นยาเสพติดผิดกฎหมาย ขณะเดียวกัน นักทำหนังชาวไทยก็ไม่มีสิทธิมนุษยชนเต็มใบเฉกเช่นอาชีพอื่นๆ ตราบใดที่ผลงานยังคงถูกสั่งห้ามฉาย ดังนั้น กัญชาชนและนักทำหนังจึงเป็นเนื้อคู่ที่เหมาะสมในการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ – เสรีภาพที่จะแสดงตัวตนที่แท้จริงของเรา เสรีภาพทางจินตนาการณ์ ที่จะเล่าเรื่องที่เราอยากเล่าอย่างสุดฝีมือ ด้วยความงดงามและสัจธรรม
ในโถงใต้โรงหนังช่วงเทศกาล การฉายหนังกลางแปลงหลังตะวันตกดินดำเนินไปอย่างสบายอารมณ์ (โหมโรงเปิดเทศกาลโดยพี่เปี๊ยกเล็กฮิป และการฉาย ‘ไออ้อนพุซซี่’ ฉบับดั้งเดิมโดยผู้กำกับหัวใจทรนง ไมเคิล เชาวนาศัย มาเอง) ท่ามกลางหมอน เสื่อและเพิงแสนสุข
ขอให้เราจงเป็นอิสระเช่นนี้ต่อไป อิสระที่จะเป็นตัวเราเอง อิสระจากการหลบๆ ซ่อนๆ และความเงียบสงัด
ขอให้ภาพยนตร์จงเดินรอยตามกัญชา ออกมาจากความมืดมนแห่งความเงียบที่ถูกบังคับให้เงียบ ออกมาสู่แสงตะวัน ไชโย
รักคือคำตอบทุกสิ่ง
(ดร.) อลิศกินเห็ด
ผู้จัดโปรแกรม
มหัศจรรย์หนังพี้ ที่ ซิเนม่า โอเอซิส