‘กลับบ้าน’
83 นาที, สิงคโปร์, 2558,
ภาษาจีนแมนดาริน อังกฤษ และมาเลย์
บรรยายภาษาอังกฤษ
ทะเลคือขุมทรัพย์ของสิงคโปร์ และมันเป็นภาพแรกของหนัง ‘กลับบ้าน’ ของกรีน เซง ในความมืดเราเห็นระลอกน้ำย้อมสีไฟนีออน : เริ่มจากน้ำเงินเปลี่ยนเป็นเขียว เป็นสีทองและดำลายแดง ทะเลที่สะท้อนความรุ่งเรืองและการกลายพันธุ์ของสิงคโปร์มาสู่ความโชติช่วงวิจิตรพิศดารในปัจจุบัน
ลี ซุน เวน ชายหนุ่มที่นั่งเขียนหนังสืออยู่ที่โต๊ะ ถูกจับข้อหาละเมิดกฎหมายความมั่นคงภายใน พาให้เมียสาวหน้าใสพอกันถูกทิ้งไว้สู้ชีวิตตามลำพัง ในช็อตเดิม ในทางเดินเดิม ในตึกแฟลตรัฐบาล ซึ่งยังคงทาสีขาวสะอาดไม่เปลี่ยนแปลง ชายสูงวัยเดินเข้ามาเคาะที่ประตูบานเดิม – พ่อวัยหนุ่มคนนั้นหวนคืนกลับบ้านจากคุก โดยมีลูกสาววัยกลางคนเป็นผู้เปิดประตูต้อนรับ เธอแก่กว่าแม่ตอนพลัดพรากจากพ่อ – แก่กว่าแม่ที่ไม่มีวันแก่ เพราะจากไปแล้ว
เหมือนคนจมน้ำ ความทรงจำที่เขาไม่เคยมี ถาโถมท่วมท้น : ความทรงจำหลายสิบปีในแฟลตนั้นที่เขาไม่มีส่วนร่วมทุกข์สุข ; เมียที่เจ็บป่วยและตายไปโดยที่เขาไม่ได้ดูแลและบอกลา และทั้งหมดนี้เพราะว่าเขาดื้อดัน ไม่ยอมเซ็นรับรองคำสารภาพที่เป็นความเท็จ
การออกแบบเสียงของหนังละเอียดอ่อนไม่ธรรมดา มันคือภูมิเสียงแห่งภูมิทัศน์มนุษย์ประดิษฐ์ของสิงคโปร์ โน้ตหลักของมันคือเสียงฮัมคล้ายฝูงผึ้งเหล็กจากรถที่แล่นผ่านบนทางด่วนที่ตัดข้ามไปมาทั่วเกาะ ไม่ใช่ความจ้อกแจ้กจอแจของจราจรและมนุษย์ (และสัตว์) ที่กำลังต่อรองสื่อสารกันตามถนนกรุงเทพหรือมุมไบ หรือผสานด้วยเสียงแหลมของหวอไซเรนอย่างนิวยอร์ค แต่เป็นเสียงฮัมกึ่งครางอันคงที่ไม่มีลดละของรถที่รีบเร่งผ่านไป รีบผ่านไปโดยไร้การสุงสิงจอดแวะข้างทาง ลุงลีนั่งคนเดียวที่โต๊ะกินข้าวเล็กๆ ของเขา หันหลังให้หน้าต่างที่เปิดเห็นวิวท้องฟ้าค่ำคืน และหอคอยแฟลตการเคหะอื่นๆ ที่ดูเหมือนกันหมด นั่งกินข้าวที่กลืนไม่ลง ความปลอดเชื้อปลอดวิญญาณของสิงคโปร์ยุคใหม่ถูกสะกดไว้ได้อย่างเจ็บลึกในฉากไร้คำพูด การจัดภาพลักษณะนี้ปรากฎขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวลูกประคำตลอดเรื่อง และสิ่งที่หนีไม่เคยพ้นคือเสียงฮัมของทางด่วน
มีปมเรื่องการคืนดีกับลูกชายเคร่งคริสเตียนผู้ขมขื่น แต่สิ่งที่สิงสู่จิตใจเราจากหนังเรื่องนี้คือภูมิทัศน์แห่งจิตวิญญาณของสิงคโปร์ เช่นในฉากดังกล่าว : ราวกับนักท่องเวลาข้ามภพ เขาจ้องมองเรือวิมานลอยยักษ์แห่งมารีน่าเบย์ และสวนสนุกแฟนตาซีทั้งยวงที่งอกเงยขึ้นระหว่างที่ชีวิตของเขาถูกขโมยไป ; ทางด่วนลอดใต้ดินที่มาแทนที่หอสมุดแห่งชาติดั้งเดิม ; มาเลเซียอีกฟากฝั่ง “แสนใกล้แต่แสนไกล” ; โรงเรียนเก่าของเขากกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ทางวัฒนธรรมจีนบาบ๋า ; ประตูมหาวิทยาลัยจาก ค.ศ. 1955 “โดดเดี่ยวและแปลกแยก” ซึ่งถูกตัดขาดจากตัวมหาวิทยาลัยโดยทางด่วนอีกเส้นหนึ่ง ; ป้ายที่คอยเตือนว่า “ที่ดินของรัฐ ใครเข้ามาถือว่ารับผิดชอบในความเสี่ยงด้วยตนเอง”
ขณะที่ทัวร์ไกด์สวนพฤกษชาติพาเดินดู “ป่าดั้งเดิมผืนสุดท้ายของสิงคโปร์ที่เหลืออยู่ 2 ตารางก.ม.” และทุกคนรีบตามไปดูต้นไม้เก่าแก่ที่สุดบนเกาะ เขายืนนิ่งหลับตา จำนนต่อความสงบอันลึกล้ำแห่งเศษส่วนสุดท้ายของวิญญาณแผ่นดิน และพยายามทำใจกับการตัดสินใจที่เป็นการตัดสินชะตากรรมของครอบครัว โดยให้ความสำคัญกับแผ่นดินเหนือชีวิตความสุขส่วนตัว
ภูมิทัศน์จิตภาพสุดท้ายน่าจะรุนแรงที่สุด เขากลับมาเดินเล่นในจุดโปรด ริมทะเลตรงข้ามฝั่งแผ่นดินใหญ่มาเลเซีย เขายืนดูอาทิตย์ตก ข้างรางเหล็กกันตกที่กั้นตลอดทางเลียบฝั่ง ราวกับซี่กรงขัง เขาเข้าใจแล้วว่าสิงคโปร์ทั้งเกาะเป็นคุก ลุงลีเดินจากไปพ้นเฟรม ทิ้งไว้เพียงลูกกรงเหล็ก ในภาพสุดท้ายที่ดำมืดจบลง
มีฉากเด็ดที่ลุงลีเห็นข่าวจราจล “ที่หาสาเหตุไม่ได้” ในย่านชาวสิงคโปร์เชื้อสายอินเดีย บนจอทีวีร้านของชำ ม็อบสี่ร้อยกว่าคนพลิกคว่ำรถ “เหมือนฉากจากหนัง” ทีวีบอกเรา และต่อท้ายว่า “สุดสัปดาห์นี้ ทางรัฐบาลได้ประกาศห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” เช่นเดียวกับเรา ลุงลีสบถพึมพำและรีบเดินหนีไป ด้วยอาการแพ้ความดัดจริตไร้เหตุผลเชื่อมโยงอันแท้จริง
แม้กระนั้นก็ตาม “ที่นี่คือบ้านเกิดของฉัน” ลุงบอกลูกสาวอย่างเด็ดเดี่ยว พ่อย้ายไปอยู่ลอนดอนกับเธอและหลานไม่ได้ เขานั่งมองพาสปอร์ทสิงคโปร์เล่มใหม่เอี่ยมที่ลูกสาวจัดการทำมาให้ แต่แม้แต่การเนรเทศภายในและความแปลกแยก ก็ยังทนได้มากกว่าการทอดทิ้งแผ่นดินเกิด “ฉันไปไม่ได้” นั้นต่างอย่างสิ้นเชิงจาก “ฉันจะไม่ไป” อีกครั้งที่เขาเลือกบ้านเมืองเหนือครอบครัว แต่ผู้มีอุดมการณ์ทั้งหลายทุกคน ที่อกหักแต่รักษาไม่ได้แพราะไม่เข็ด ย่อมเห็นด้วยกับลุงลีว่ามันไม่ใช่เรื่องของการเลือกและการตัดสินใจ (อลิศกินเห็ด)
ผู้กำกับ : กรีน เซง
บทภาพยนตร์ : กรีน เซง และ จูน ฉั่ว
ตัดต่อ : เซน หมิง ชาน
กำกับกล้อง : หว่อง เม็ง ฝาย
ออกแบบโปรดักชั่น : เยียว ลี นา
ดนตรี : ริชาร์ด คูเพอร์
ออกแบบเสียง : ทาคุยะ คัทสุ
อำนวยการสร้าง : จูน ฉั่ว
นำแสดง : เซน เทียนเซียง, วินเซนท์ ที, ตัน เบ็ง เซียก